B2B กับ B2C ต่างกันยังไงในโลก E-commerce

ความแตกต่างระหว่าง Ecommerce B2B และ B2C

ในโลกของ E-commerce การขายสินค้าและบริการออนไลน์ไม่จำกัดเฉพาะการขายให้ลูกค้าทั่วไป (B2C) เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการขายระหว่างธุรกิจด้วยกัน (B2B) ซึ่งทั้งสองโมเดลมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นด้านพฤติกรรมผู้ซื้อ ขั้นตอนการสั่งซื้อ หรือการทำการตลาด

บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกความแตกต่างระหว่าง B2B และ B2C รวมถึงกลยุทธ์เฉพาะที่เหมาะกับแต่ละรูปแบบธุรกิจ เพื่อให้คุณสามารถเลือกช่องทางการขายที่เหมาะสม และพัฒนาธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เปรียบเทียบ B2B และ B2C Ecommerce

รายการเปรียบเทียบ	B2B (Business to Business)	B2C (Business to Consumer)
กลุ่มลูกค้า	บริษัท องค์กร ตัวแทนจำหน่าย	ลูกค้าทั่วไป ผู้บริโภค
ปริมาณการสั่งซื้อ	จำนวนมาก มีเงื่อนไขเฉพาะ	สั่งซื้อปลีก จำนวนไม่มาก
กระบวนการตัดสินใจ	ซับซ้อน ต้องผ่านหลายฝ่าย	ตัดสินใจรวดเร็ว ส่วนตัว
การตั้งราคา	ต่อรองได้ มีราคาแบบ Tier	ราคาตายตัว มีโปรโมชัน
ช่องทางการขาย	ผ่านทีมขาย, เว็บไซต์ B2B, อีเมล	Marketplace, Social Media, D2C Website

วิธีวางกลยุทธ์การขายที่แตกต่างกัน

สำหรับ B2B Ecommerce:

สร้างระบบจัดการใบเสนอราคา (Quotation) และรายการสินค้าแบบละเอียด
ให้บริการแบบ Account-based (เฉพาะลูกค้ารายใหญ่)
ออกแบบระบบสั่งซื้อแบบ recurring หรือ pre-order ได้
จัดโปรโมชันแบบ Volume-based เช่น ซื้อขั้นต่ำถึงจะได้ส่วนลด

สำหรับ B2C Ecommerce:

เน้นแคมเปญการตลาดผ่านโซเชียลและ Influencer
ออกแบบ UX/UI ของเว็บไซต์ให้ตัดสินใจซื้อได้เร็ว
มีระบบตะกร้าสินค้าและชำระเงินแบบง่าย
ใช้โปรโมชั่น Flash Sale หรือลดราคาช่วง Double Day (9.9, 11.11 ฯลฯ)

ตัวอย่างกลยุทธ์ที่ใช้ได้จริง

B2B: บริษัทอุปกรณ์สำนักงาน ใช้เว็บไซต์ที่เชื่อมต่อระบบ ERP และมีการล็อกอินเพื่อดูราคาสำหรับตัวแทนจำหน่ายเท่านั้น
B2C: แบรนด์เครื่องสำอางเปิดร้านค้าใน Shopee และ Lazada พร้อมทำ Live ทุกสัปดาห์เพื่อกระตุ้นการซื้อ
Hybrid: แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ขายผ่าน Marketplace สำหรับลูกค้าทั่วไป และมีช่องทาง B2B สำหรับร้านตัวแทนที่ซื้อเป็นล็อต